เจาะปมต่างด้าวค้าที่ดินเชิด"นอมินี"แปลงร่าง"ไทยเทียม"
ตะลึง!กว้านซื้อ 100 ล้านไร่ทั่วไทย
ปัญหา "ต่างด้าว" หลีกเลี่ยงกฎหมาย โดยการเชิดคนไทย หรือที่เรียกว่า "นอมินี" ถือครองที่ดินแทน มีการร้องเรียนและเป็นข่าว มาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนถึงขนาดที่กรมที่ดิน ออกหนังสือ ขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ตรวจสอบและสอบสวนกรณีที่มีเหตุสงสัยว่าจะมีการถือครองที่ดินไว้แทนคนต่างด้าว (พ.ย. 2552)
ทั้งนี้ รูปแบบ ที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด คือ การจดทะเบียนสมรสกับคนไทย หรือให้คนไทยถือครองที่ดินแทน หรือ ตั้งบริษัท โดยให้คนไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ที่เรียกว่า บริษัท ไทยเทียม เพราะแม้ว่า สัดส่วนการถือหุ้นจะเป็นคนไทย 51 % ต่างด้าว 49 %
แต่เอาเข้าจริง หุ้น 51 % กลับกลายเป็นของต่างด้าว เพราะเป็นการเชิดคนไทยถือหุ้นแทน และประเด็นที่สำคัญ สิทธิการออกเสียง แทบ 100 % เป็นของต่างด้าว
ในช่วง 4-5ปีที่แล้ว กระแสลงทุนของต่างด้าวในธุรกิจที่ดิน บูมแบบสุดๆ ในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เกาะภูเก็ต จนมาถึงอำเภอหัวหิน ไม่นับฝั่งตะวันออก พัทยา ชลบุรี หาดระยอง กลายเป็น land for sale สำหรับต่างด้าว
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในช่วงปี 2549 มีการจดทะเบียนบริษัทบนเกาะสมุย เดือนละ 100บริษัท เพื่อทำธุรกิจค้าที่ดิน
จากการตรวจสอบ สำนักงานแห่งหนึ่งบนเกาะสมุยพบว่ามี บริษัท 500แห่งตั้งอยู่เลขที่สำนักงานเดียวกัน และมีผู้หญิงไทยจากจังหวัดเลย นั่งเป็นกรรมการอยู่เกือบ 100บริษัท ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ งบการเงินของบริษัท 500แห่ง ที่ยื่นต่อกระทรวงพาณิชย์ เป็นตัวเลขชุดเดียวกัน
ทั้งๆ ที่ ตามกฎหมายไทย ต่างด้าว เข้ามาค้าที่ดินในประเทศไทย ไม่ได้
เพราะเป็นการกระทำผิด ฝ่าฝืน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542และประมวลกฎหมายที่ดิน แบบเต็มๆ
ในปี 2552 ห้าอันดับแรกทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ สหราชอาณาจักร 1,267ล้าน ฮ่องกง 1,035ล้าน ออสเตรเลีย 882.8ล้าน สหรัฐอเมริกา 546ล้าน เยอรมนี 444.7ล้าน
จากข้อมูลเชื่อได้ว่า ทุนต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามาลงทุนบนเกาะภูเก็ต ล้วนเชิด "นอมินี" แปลงกายเป็น บริษัทไทยเทียม อย่างแนบเนียน
โมเดลแบบเกาะสมุย หรือ โมเดล ภูเก็ต เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย
ไม่แปลกถ้าจะพบ หมู่บ้านสวิสเซอร์แลนด์ หมู่บ้านออสเตรีย หมู่บ้านเยอรมนี หมู่บ้านอังกฤษ ในแผ่นดินไทย
ปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง องค์กรปกครองท้องถิ่น
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตลอด 5-6ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถตรวจสอบพบผู้กระทำผิด จนนำไปสู่การดำเนินคดีได้ตามกฎหมายสักรายเดียว
หลังจากมีการร้องเรียน และเป็นข่าวฮือฮาว่า ต่างด้าวฮุบที่ดิน แขกตะวันออกกลางเข้ามาทำนา แต่จนถึงวันนี้ ทั้งกรมที่ดิน และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังตรวจไม่พบ "ต่างด้าว" หรือนอมินี แม้สักรายเดียว
ล่าสุด เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดตัวเลขที่น่าตกใจว่า ที่ดิน 100ล้านไร่ อยู่ในครอบครองของต่างด้าว
" ทราบหรือไม่ว่า ขณะนี้ พื้นที่ของประเทศไทยถูกชาวต่างชาติซื้อไปแล้วในรูปแบบต่างๆ ประมาณ 1ใน 3หรือประมาณ 100ล้านไร่โดยเฉพาะพื้นทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเกาะภูเก็ต เกาะสมุย เกาะช้าง พื้นที่ชายหาด พื้นที่ริมทะเล ประมาณร้อยละ 90 ถูกชาวต่างชาติถือครองอยู่เพื่อประกอบกิจการโรงแรมที่พักและมีการชักชวนชาวต่างชาติด้วยกันเองมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยเพิ่มสูงมากขึ้น"
เป็นการเปิดเผยข้อมูล โดย ศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ( 28มิถุนายน 2554)
"ศรีราชา" ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้ คนต่างชาติจะมาอยู่ที่ประเทศไทยเสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง โดยจะมาเดินทางพักผ่อนเมื่อภูมิอากาศของประเทศตนเองเป็นฤดูหนาว พออากาศหนาวก็จะมาอยู่ในประเทศไทยที่อากาศอบอุ่นกว่า ค่าครองชีพก็ถูกกว่ามากแนวความคิดการมีบ้านหลังที่สองที่ประเทศไทยนี้กำลังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ
กระบวนการเชิดนอมินีคนไทย นั่งเป็นกรรมการบริษัทไทยเทียม ถูกออกแบบและให้คำปรึกษาอย่างดีจาก สำนักงานกฎหมาย หรือ Law Firm ในการจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้เป็นบริษัทไทย รวมถึงการหา กรรมการและผู้ถือหุ้น ไว้เสร็จสรรพ
ต่างด้าว สามารถเข้ามาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือ ซื้อรีสอร์ท หรูหรา มูลค่ามหาศาล ผ่านการถือหุ้นในรูปบริษัท ที่เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ฉะนั้น การถือหุ้นก็ถือเสมือนการถือครองที่ดิน นั่นเอง
นี่คือ การบริการทางกฎหมายที่หาช่องเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งเป็นที่รู้กันดี ประเด็นที่น่าสนใจคือ โครงการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีการแจกหุ้นลมให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง ผู้บริหารสถาบันการเงินใหญ่ และผู้มีอำนาจมากบารมี เพื่อหวังพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ
อย่างไรก็ตาม มุมมองทางกฎหมาย ในกรณีต่างด้าวเข้ามาค้าที่ดิน โดยใช้บริการของ สำนักงานกฎหมาย ก็ยังเป็นประเด็นมองต่างมุม ฝ่ายหนึ่งมองว่า ไม่น่าเสียหายอะไร เป็นแค่การบริการทางกฎหมาย เพราะกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้
แต่อีกฝ่ายเห็นว่า ควรออกกฎหมายมาลงโทษ นอมินีคนไทยที่ถือครองที่ดิน รวมถึง นักกฎหมายที่ให้คำปรึกษาเพื่อเลี่ยงกฎหมาย ให้หนัก เพื่อแก้ปัญหาต่างด้าวเข้ามาค้าที่ดินในประเทศไทย
ในช่วงปลายรัฐบาล "ขิงแก่" พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีพยายามแก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ เพื่อปิดช่อง "ต่างด้าว" เชิดคนไทยถือหุ้นแทนในบริษัทไทยเทียม แต่จนแล้วจนรอด ร่างกฎหมายก็แท้งไปเสียก่อน
ปัญหาต่างด้าวเข้ามาค้าที่ดิน อันเป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทยในบัญชี 1พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อไป
ด้านหนึ่ง พวกที่เชื่อในโลกการค้าเสรี เห็นว่า ควรเปิดช่องให้ ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าที่ดิน จะได้เกิดการแข่งขัน เพราะเห็นว่า ทุนไทยกับทุนต่างด้าวไม่แตกต่างกัน เห็นควรให้ปรับปรุงบัญชีท้ายพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวให้สอดคล้องกับโลกการค้าเสรี หรือ ไม่ก็เปิดช่องให้ ต่างชาติเช่า ตามที่ต้องการ
วาทะกรรมของฝ่ายนี้ก็คือ ต่างชาติหอบเอาแผ่นดินกลับบ้านไปได้ไหม !!!
อีกด้านหนึ่งกลุ่มชาตินิยมที่หวงแหนแผ่นดิน กลับมองว่า ที่ดินเป็นสมบัติของชาติ ไม่ควรเปิดประตูให้ต่างด้าวเข้ามาโดยเด็ดขาด และคนไทยที่ให้ความร่วมมือกับต่างด้าวต้องถูกลงโทษให้หนัก เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
จะว่าไป ปัญหา "ดีแทค"ยักษ์โทรคมนาคม ที่ถูก" ทรู"ทุนไทย ยื่นร้องเรียนว่า เป็นบริษัทต่างด้าว ก็เป็นปัญหาว่า ไทยเทียม นั่นเอง
กล่าวกันว่า ถ้าจะเล่นงาน บริษัทไทยเทียมกันจริงๆ จะมีบริษัทที่เข้าข่ายแบบ "ดีแทค" หลายพันบริษัท ที่ต่างชาติหอบเงินเข้ามาลงทุนหลายแสนล้าน
เรื่องนี้ ไม่มีคำตอบที่เบ็ดเสร็จ เพราะเลือกทางหนึ่ง ก็เสียอีกทางหนึ่ง
วิธีการที่รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัย ใช้ก็คือ หลับตาเสียข้างหนึ่ง เพราะรัฐบาลยังต้องการเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ
เพราะบางทีทุนไทยและปัญญาไทย อาจก่อสร้างได้แค่ ตึกแถว !!!!
ข้อมูล มาตรการทางกฎหมายในการแก้ปัญหาคนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจค้าที่ดิน
สารนิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น