วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ไอซีที ตั้ง 2 คณะอนุกก.คุมสมาร์ทเน็ตเวิร์ก-รายงานทุก 2 สัปดาห์

 

ไอซีที ตั้ง 2 คณะอนุกก.คุมสมาร์ทเน็ตเวิร์ก-รายงานทุก 2 สัปดาห์

รมว.ไอซีที นั่งหัวโต๊ะสมาร์ทเน็ตเวิร์ก ต้อนทีโอที กสท ร่วมก๊วน พร้อมตั้ง 2 คณะอนุกรรมการ กำหนดยุทธศาสตร์หวังผลักดันนโยบายถึงฝัน พร้อมกำชับส่งการบ้านทุก 2 สัปดาห์...

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายสมาร์ทไทยแลนด์ (Smart Thailand) ว่า กระทรวงฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ผลักดันนโยบายสมาร์ทเน็ตเวิร์ก (Smart Network) ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำแผนการดำเนินงานให้เกิดความชัดเจน และผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายดังกล่าว โดยมี รมว.ไอซีที เป็นประธาน และมีกรรมการ รวมทั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ร่วมในคณะกรรมการชุดนี้

รมว.ไอซีที กล่าวต่อว่า ระยะเริ่มแรกภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องผลักดัน คือ การพัฒนาโครงข่ายให้สามารถเชื่อมโยงรองรับการให้บริการบรอดแบนด์อย่างทั่วถึง และครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนไม่ต่ำกว่า 80% สามารถใช้บริการได้ภายในปี 2558 และไม่ต่ำกว่า 95% ใช้บริการได้ภายในปี 2563 พร้อมทั้งกำหนดกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินการเพื่อพัฒนาโครงข่ายให้ได้มาตรฐานรองรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพในอัตราที่เหมาะสม

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการรองรับการบริหารจัดการโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพจึงต้องพิจารณากำหนดรูปแบบ แนวทางการบริหารจัดการ และการลงทุน เพื่อพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์ให้เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ตลอดจนพิจารณากรอบวงเงินและแหล่งเงินในการลงทุน เพื่อพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์เพิ่มเติมให้สามารถเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และตอบสนองต่อความต้องการใช้บริการของทุกภาคส่วนได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียม

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 2 คณะ คือ 

1.คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงข่ายและรูปแบบการบริหารจัดการโครงข่าย เพื่อรองรับการให้บริการบรอดแบนด์ ทำหน้าที่ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงข่าย และขีดความสามารถ เพื่อรองรับการให้บริการบรอดแบนด์ พิจารณากรอบวงเงินลงทุน รูปแบบ และแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม รวมทั้งการสนับสนุนส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาโครงข่ายให้บริการบรอดแบนด์ที่มีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนซ้ำซ้อน และสามารถรองรับการให้บริการที่มีคุณภาพในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม และ 

2.คณะอนุกรรมการพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายในการบริหารจัดการโครงข่าย การใช้บรอดแบนด์ ทำหน้าที่พิจารณาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การโอนกรรมสิทธิ์ เงื่อนไขการบริหารจัดการโครงข่าย และสิทธิในการใช้ทรัพย์สินตามสัญญาร่วมการงาน เป็นต้น โดยคณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุดจะรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานต่อคณะกรรมการฯ ทุก 2 สัปดาห์

โดย: ทีมข่าวไอทีออนไลน์

21 เมษายน 2555, 15:30 น.

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

คมนาคมสั่งทอท.ฟื้นดอนเมือง-ลุยสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6.2 หมื่นล้าน

             
วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 11:28:48 น.

คมนาคมสั่งทอท.ฟื้นดอนเมือง-ลุยสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6.2 หมื่นล้าน

Share 



กระทรวงคมนาคมสั่ง ทอท.เร่งโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6.2 หมื่นล้าน แก้ปัญหาความแออัดผู้โดยสาร เพิ่มความสามารถรองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน/ปี ตั้งเป้าตอกเข็มปี"56 "สมชัย สวัสดิผล" เด้งรับ เผยเปิดประมูลหาบริษัทที่ปรึกษาแล้วเมื่อ 19 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมพิจารณาอนุมัติทันทีในวันประชุมบอร์ดเดือนพฤษภาคม คาดกระบวนการแล้วเสร็จไตรมาสสุดท้ายของปีนี้



นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารบริษัท 
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ดำเนินการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารที่แออัดในปัจจุบันอย่างเร่งด่วน ล่าสุดได้รับรายงานอย่างไม่เป็นทางการจากผู้บริหาร ทอท.ว่า ในปีนี้คาดว่าจะเปิดประมูลก่อสร้างโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่าโครงการ 62,503 ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการ 6 ปี วงเงินลงทุนมาจากรายได้ของ ทอท.และแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ

หลังผมกลับจากประเทศญี่ปุ่น ผมก็สั่งให้ ทอท.เร่งดำเนินการ เพราะกว่าโครงการจะเสร็จอีก 5-6 ปี ตอนนี้สุวรรณภูมิแออัดมาก เกินขีดความสามารถจะรับผู้โดยสารที่ออกแบบไว้ 45 ล้านคน/ปี หากเฟส 2 เสร็จจะรับได้อีกอย่างน้อย 15 ล้าน รวมเป็น 60 ล้านคน/ปี แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48 ล้านคน/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 33 ล้านคน/ปี และผู้โดยสารในประเทศประมาณ 12 ล้านคน/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 12 ล้านคน/ปี

นายจารุพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 
ประกอบด้วย 
1) งานขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก และก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก วงเงิน 7,406 ล้านบาท 
2) สร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 พร้อมลานจอด วงเงิน 40,745 ล้านบาท 
3) ระบบสาธารณูปโภค วงเงิน 2,693 ล้านบาท 

4) จ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการหรือ PMC 763 ล้านบาท 

ขณะเดียวกัน ทอท.มีแผนจะพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มเติมในระยะต่อไป หากผู้โดยสารเกิน 60 ล้านคน/ปี ในปี 2560 วงเงินลงทุน 21,000 ล้านบาท 
แบ่งเป็นการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ 9,000 ล้านบาท 
สร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 วงเงิน 4,000 ล้านบาท รวมถึงชดเชยผลกระทบด้านเสียง 8,000 ล้านบาท 

ตอนนี้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงให้สายการบินในประเทศมาใช้บริการที่สนามบินดอนเมืองแทน เพื่อลดความแออัดที่สุวรรณภูมิ จะมีสายการบินนกแอร์ ต่อไปจะมีแอร์เอเชียเข้ามาด้วย ส่วนการขยายเฟส 2 ก็เร่งดำเนินการในปีนี้?

นายจารุพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับสนามบินในภูมิภาค จะเร่งขยายสนามบินภูเก็ต ค่าก่อสร้างประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.ภูเก็ตเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ปี คาดว่าจะเปิดประมูลในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่สนามบินกระบี่ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้ว จะเปิดบริการในเดือนพฤษภาคมนี้ 

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ ทอท.อยู่ระหว่างคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อมาบริหารโครงการพัฒนา

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 จะมีการยื่นซองประกวดราคา 19 พฤษภาคมนี้ หากได้บริษัทที่ปรึกษาแล้วจะออกแบบรายละเอียดและจัดทำเอกสารประมูลก่อสร้าง โดยกระทรวงคมนาคมพยายามจะให้ดำเนินการประมูลให้ได้ภายในปีนี้ แต่หากไม่ทันคาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2556 เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิมีความแออัดมาก 

ด้านนายสมชัย สวัสดิผล รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท 
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ทางท่าอากาศยานไทยได้เร่งดำเนินการสำหรับโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ตามแผนที่วางไว้ โดยได้เปิดให้ยื่นซองประมูลเพื่อหาบริษัทที่ปรึกษาโครงการ (โปรเจ็กต์ แมเนจเม้นต์ คอนซัลแทนต์) ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้ายื่นซองประมูลรวม 3 ราย และจะพิจารณาในวันประชุมบอร์ดของ ทอท.เพื่ออนุมัติในปลายเดือนพฤษภาคมนี้

หลังจากที่ได้บริษัทที่ปรึกษาโครงการแล้ว ทอท.จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการจัดทำทีโออาร์ กำหนดคุณสมบัติเพื่อคัดเลือกบริษัทผู้ออกแบบและควบคุมงาน (ดีไซเนอร์) โดยคาดว่าน่าจะได้บริษัทออกแบบดีไซน์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย และทันทีที่ได้บริษัทออกแบบ ทาง ทอท.ก็เร่งดำเนินงานตามแผนการก่อสร้างภายใต้งบประมาณ 62,000 ล้านบาทตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทาง ทอท.ยังมีแผนดำเนินการในระยะสั้นควบคู่ไปกับการดำเนินการก่อสร้างสุวรรณภูมิ เฟส 2 ด้วยการเร่งเจรจากับสายการบินต้นทุนต่ำ เพื่อให้กลับมาบินที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากที่สายการบินนกแอร์กลับมาใช้สนามบินดอนเมือง ทำให้สุวรรณภูมิลดความแออัดของเที่ยวบินได้ราว 80 เที่ยวบิน/วัน ทำให้สุวรรณภูมิลดเที่ยวบินจากกว่า 1,000 เที่ยวบิน/วัน เหลือ 900 กว่าเที่ยวบิน/วัน

"เมื่อวาน (วันที่ 23 เมษายน) ทาง ทอท.ได้เจรจากับทางสายการบินแอร์เอเชียอีกรอบ ซึ่งหากผลการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมาย เราน่าจะละเที่ยวบินที่สุวรรณภูมิได้อีก 140-150 เที่ยวบิน/วัน ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวและเที่ยวบินที่สุวรรณภูมิได้ดีขึ้นในช่วงเวลาปี 2 ปีนี้อีกด้วย" นายสมชัยกล่าว

นายสมชัยกล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการลงทุนอาคารผู้โดยสารภายในประเทศนั้น ก็ยังเป็นโครงการที่ศึกษาอยู่ แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ และต้องรอให้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี จึงต้องโฟกัสโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีก่อน


วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

เพลินใจกับภาพยนตร์สุดสัปดาห์: Safe / Lockout / From Up On Poppy Hill / อสรพิษ

เพลินใจกับภาพยนตร์สุดสัปดาห์: Safe / Lockout / From Up On Poppy Hill / อสรพิษ

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:24 น.

Share 




Safe โครตระห่ำ ทะลุรหัส

 

ผู้กำกับ โบแอซ ยาคิน
นักแสดง เจสัน สเตทแธม, แคทเธอรีน ชาน, คริส ซาแรนดอน

 


เหม่ย (แคทเธอรีน ชาน) เป็นอัจฉริยะคณิตศาสตร์ชาวจีนวัย 10 ขวบ ซึ่งถูกองค์กรมือลักพาตัวจากบ้านของเธอที่เมืองนานกิง ก่อนที่ฮันเจียว (เจมส์ ฮอง) หัวหน้าองค์กรมืด ส่งตัวเธอไปยังสหรัฐฯ ที่ซึ่งเธอจะทำหน้าที่เป็น "เคาน์เตอร์" สำหรับองค์กรผิดกฎหมายที่ใช้ขู่กรรโชกของพวกเขา


ในเมื่อไม่มีทั้งคอมพิวเตอร์ และร่องรอยเอกสารใดๆ  เธอเก็บตัวเลขทั้งหมดนั้นไว้ในหัวของเธอ หนึ่งปีให้หลัง ชาง (เรจจี ลี) พ่อบุญธรรมคนใหม่ของเธอ ก็พาเธอมาด้วยเพื่อนับตัวเลข ขณะที่เขาจัดการเรื่องธุรกิจของตัวเอง

เมื่อลุ๊ค ไรท์ (เจสัน สเตแธม) นักสู้มือรองบ่อนจากวงการศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานในนิวเจอร์ซีย์ ทำให้แผนการล้มมวยต้องพังพินาศลง แก๊งมาเฟียรัสเซียก็จัดการเชือดไก่ให้ลิงดู ด้วยการสังหารภรรยาของเขาและขู่จะฆ่าทุกคนที่เขาผูกมิตรหรือมีความสัมพันธ์ด้วย ตอนนี้ลุ๊ค ที่เป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาด ยากแค้นและแปลกแยกจากคนในสังคม ได้ร่อนเร่ไปตามท้องถนนในนิวยอร์กราวกับวิญญาณ ที่ก้าวสู่ขอบเหวของการฆ่าตัวตาย


ที่สุดเขาก็ได้มาเจอกับเหม่ย และนั่นทำให้เขาต้องมีหน้าที่เพิ่มอีกเป็นสองเท่า หนึ่งคือช่วยเหลือเด็กหญิงให้รอดพ้นจากแก๊งอาชญากร และสอง คือการเอาชนะแก๊งมาเฟียรัสเซีย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กผู้ฉ้อฉลด้วยสติปัญญาที่เขามีอยู่

 

 

 

 

Lockout แหกคุกกลางอวกาศ


ผู้กำกับ เจมส์ แมตเตอร์, สตีเฟ่น เซนต์ ลีเจอร์
นักแสดง กาย เพียร์ซ, แมกกี้ เกรซ, ปีเตอร์ สตอแมร์

 


หนังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนยาน"เอ็มเอส-วัน" ยานอวกาศที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งโลกอนาคต ที่อาชญากรสุดอันตรายกว่า 500 คน ถูกขังเอาไว้ในสภาวะจำศีล

อย่างไรก็ตามเมื่อ เอมิลี่ (แม็กกี้ เกรซ) ลูกสาวประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นไปทำปฏิบัติภารกิจเรื่องสิทธิมนุษยชน เหล่านักโทษก็ตื่นขึ้นมาและยึด เอ็มเอส-วัน เอาไว้ได้ ด้วยเวลาและหนทางที่เหลืออยู่ไม่มาก ประธานาธิบดีจำเป็นต้องส่งอดีตเจ้าหน้าที่ฝีมือดี แต่บ้าระห่ำอย่าง สโนว์ (กาย เพียร์ซ) ขึ้นไปบน เอ็มเอส-วัน โดยมีภารกิจเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ช่วยลูกสาวของเขากลับมาสู่โลกให้ได้

 

 

 

 

 

From Up On Poppy Hill ป๊อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์

 

ผู้กำกับ โกโร่ มิยาซากิ
ให้เสียงพากษ์ มาซามิ นางาซาวะ, จูนิชิ โอกาดะ, เคโกะ ทาเกชิตะ, ยูริโกะ อิชิดะ, รูมิ ฮิอิรางิ , จุน ฟูบุกิ

 

 

"สตูดิโอ จิบลิ" เจ้าของผลงานภาพยนตร์แอนิเมชัน ที่คอภาพยนตร์ญี่ปุ่นน่าจะรู้จักกันป็นอย่างดี นับตั้งแต่ Ponyo on the Cliff by the Sea (โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย) และ Arrietty (อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว) ครั้งนี้จิบลิได้นำภาพยนตร์เรื่องใหม่ FROM UP ON POPPY HILL หรือ ป๊อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์ เป็นผลงานของผู้กำกับ โกโระ มิยาซากิ จาก Tales from Earthsea

 

From Up On Poppy Hill ดัดแปลงจากนิยายภาพเรื่อง Kokurikozaka Kara  โดยจิซึรุ ทากาฮาชิและเท็ตสึโระ ซายามะ  ที่ตีพิมพ์ในหนังสือการตูนชุด"นากาโยชิ" โดยสำนักพิมพ์โคดันฉะ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 1980 หนังเล่าเรื่องราวความรักอันแสนบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวที่มีฉากหลังปี 1963 ก่อนที่จะมีการจัดโตเกียว โอลิมปิคในปีถัดมา ในตอนที่ญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงจากยุคของความสับสนหลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองไปสู่ยุคของการเติบโตอย่างสูงทางเศรษฐกิจ อุมิ เป็นเด็กนักเรียนไฮสคูล ได้พบและตกหลุมรัก ชุน เด็กหนุ่มที่โรงเรียน และทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้และเติบโตผ่านความรักของพวกเขาด้วยกัน

 

ผู้กำกับ โกโระ มิยาซากิ กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1963 ก่อนที่จะมีการจัดโตเกียว โอลิมปิค ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงจากยุคของความสับสนหลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ไปสู่ยุคของการเติบโตอย่างสูงทางเศรษฐกิจ นางเอกของเรื่อง ที่เป็นเด็กนักเรียนไฮสคูล ได้พบและตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่โรงเรียน และทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้และเติบโตผ่านความรักของพวกเขาด้วยกัน

 

เราไม่อยากจะสร้างเรื่องราวที่เกี่ยวกับการโหยหาอดีต หรือพูดว่า "โน่นเป็นอดีตที่สวยงาม" อย่างเดียว แต่เราอยากจำเสนอสายสัมพันธ์ใกล้ชิดและแรงสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างเด็กหนุ่มและเด็กสาว พ่อแม่และลูกๆ เป็นสายสัมพันธ์ที่ยังคงล้ำค่า ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในตอนนี้และในตอนนั้น เรารู้สึกเป็นพิเศษถึงความสำคัญของสายสัมพันธ์และแรงสนับสนุนเช่นนั้นในปัจจุบันนี้ หลังจากเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเร็วๆนี้

 

เข้าฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ลิโด้ สยามแสควร์

 

 

 

 

อสรพิษ

 

ผู้กำกับ จารุณี ธรรมยู
นักแสดง: นนท์พิเชษฐ์ วงศ์ชนกศิริกุล, ปรีชา เกตุคำ, ชยุตพล บำเพ็ญ, ชัยชนะ บุญนะโชติ
ผู้ประพันธ์นิยายต้นฉบับ: แดนอรัญ แสงทอง

 

 

เรื่องราวความใฝ่ฝันของ "แป" เด็กชายชาวนาผู้พิการ หมู่บ้านแพรกหนามแดง ที่ตั้งอยู่ในชนบทแถบภาคกลางของไทย   แปมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนเพียงชั้น ป.4 และต้องช่วยพ่อแม่ซึ่งมีอาชีพชาวนาและรับจ้าง โดยเลี้ยงวัวอยู่ในท้องนา ครอบครัวของแปมีความขัดแย้งกับทรงวาด ร่างทรงเจ้าแม่แพรกหนามแดงซึ่งเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น เนื่องจากพ่อแม่ของเขาไม่เชื่อว่าทรงวาดจะเป็นร่างทรงจริง ทั้งยังขาดความเคารพเชื่อถือทรงวาดดังเช่นคนอื่น ๆ ซ้ำยังต่อต้าน เพราะเห็นว่าทรงวาดนั้นหลอกลวงชาวบ้านและใช้อิทธิพลของตนเพื่อผลประโยชน์ของตน โดยยึดที่ดินสาธารณะมาเป็นที่ดินของส่วนตัว โดยอ้างชื่อเจ้าแม่แพรกหนามแดง และแปเองก็มีเรื่องชกต่อยกับลูกชายเกเรของทรงวาด ทรงวาดจึงเกิดความไม่พอใจต่อเขาและ ครอบครัวอยู่ไม่น้อย

 

เย็นวันหนึ่ง แปโชคร้ายถูกงูเห่ายักษ์ออกจากโพรงพุ่งเข้าฉก แต่แปก็ใช้มือข้างเดียวที่มีกำลังคว้าคองูยักษ์นั้นไว้ได้ทัน มันจึงยิ่งทวีความอาฆาต ตวัดรัดร่างของเขาไว้อย่างเหนียวแน่น เขาต้องทานกำลังของงูที่หมายจะฝังเขี้ยวพิษของมันลงบนร่างของเขาเพื่อเอาชีวิต เขาทรงตัวไว้ไม่อยู่จึงล้มลงฟาดกับซากขอนตาลที่ถูกโค่น หน้าตาบวมปูดบูดเบี้ยว เลือดกลบหน้า ทว่าคอของงูยังอยู่ในมือและงูก็ยังรัดเขาแน่น และยิ่งแน่นขึ้น เพื่อนฝูงที่อยู่รอบข้างต่างหนีกระเจิงกันไปตั้งแต่ที่งูปรากฏตัว ด้วยอิทธิพลความเชื่อของชาวบ้าน จึงไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย และยากที่จะช่วยได้ แม้แต่พ่อของเขาก็ถูกขัดขวาง เขาจึงต้องต่อสู้กับชะตากรรมของตนเองเพียงลำพัง

 

"อสรพิษ" สร้างจากนิยายขนาดสั้นของแดนอรัญ แสงทอง ซึ่งเป็นนามปากกาของ เสน่ห์ สังข์สุข ศิลปินดีเด่นรางวัลศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2553 ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ 8 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สเปน โปรตุเกส คาตาลัน และกรีก มียอดตีพิมพ์มากกว่าแสนเล่มทั่วยุโรป  และมีการจัดพิมพ์เป็นหนังสือเฉพาะสำหรับผู้มีปัญหาทางสายตา รวมทั้งมีการบรรจุให้เป็นหนังสือ อ่านนอกเวลาของหลายมหาวิทยาลัยในประเทศแถบยุโรป 

 

นอกจากนี้ยังได้สร้างแรงบันดาลใจ แก่คณะละครในฝรั่งเศสในการนำไปดัดแปลงเป็นละครเวทีด้วย  รวมทั้งผลงานนิยายอย่าง "เงาสีขาว" และ "เจ้าการะเกด" ก็ได้สร้างความประทับใจและประจักษ์ในฝีมือและความสามารถ แก่ชาวยุโรปทั้งหลายเช่นกัน จนกระทั่ง  แดนอรัญ แสงทอง ได้รับอิสริยาภรณ์ในลำดับชั้นอัศวิน ด้านศิลปะและอักษร (Chevalier De L′Ordre Des Arts Des Lettres) จาก กระทรวงวัฒนธรรม และการสื่อสารของประเทศฝรั่งเศส  โดยเป็นนักเขียนชาวไทย "คนแรก" และ "คนเดียว" ที่ได้รับเกียรติยศนี้ และเมื่อนำมาอสรพิษมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก็ได้รับทุนสนับสนุนงบประมาณการสร้างจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ในกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงวัฒนธรรมไทย ประจำปี 2553 และได้จัดฉายในส่วน "ไทยฟิล์ม โชว์เคส" ณ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ปี 2554

 

เข้าฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ลิโด้ สยามสแควร์ ตั้งแต่ 26-29 เมษายน 2555

 

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335514333&grpid=01&catid=08&subcatid=0809

 

เกษียร เตชะพีระ ว่าด้วย ชันสูตรพลิกศพ ′ผังล้มเจ้า′

 

เกษียร เตชะพีระ ว่าด้วย ชันสูตรพลิกศพ ′ผังล้มเจ้า′

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:59:12 น.

Share6




ชันสูตรพลิกศพ ′ผังล้มเจ้า′ โดย เกษียร เตชะพีระ  มติชน 27 เมษายน 2555




"วันนี้ (11 เม.ย.) พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบัน (คดีล้มเจ้า) กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดว่า อัยการมีความเห็นให้ดีเอสไอสรุปสำนวนคดีตามพยานหลักฐาน

 

คณะทำงานชุดสอบสวนจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เพราะเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนทำผังล้มเจ้า และระบุไม่ได้ว่า ใครเป็นคนกระทำความผิด และกระทำที่ไหน เวลาใด อย่างไร ดีเอสไอจึงไม่สามารถดำเนินการสอบสวนต่อไปได้ ขั้นตอนหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะสรุปไปตามพยานหลักฐานแล้วส่งสำนวนคดีไป ให้อัยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีอาญา"

 

 

"ตามคาด! ดีเอสไอสรุปสำนวนไม่ฟ้อง-ยุติคดีผังล้มเจ้า"

12 เม.ย. 2555, www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9550000045831 

ถึงแม้กรณี "ผังล้มเจ้า" จะจบลงอย่างแอนตี้ไคลแมกซ์จนน่าหัวร่อและชวนให้ส่ายหน้าด้วยความสมเพช กระทั่งหนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่ออย่าง อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ยังรู้สึกว่าฮาดีก็ตาม (www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333186767&grpid=01&catid=01

แต่ผมอยากเตือนให้ระลึกว่านี่เป็น "ตลกมรณะ" (a deadly joke) เพราะตอนที่มันถูกปล่อยออกมานั้น หน้าที่ทางการเมืองของมันคือให้ความชอบธรรมแก่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งตกอยู่ในสภาพเพลี่ยงพล้ำจากความล้มเหลวไม่เป็นท่าในการสลายการชุมนุมของ นปช. รอบแรกที่ถนนราชดำเนิน ในอันที่จะลงมือโฆษณาชวนเชื่อโจมตีให้ร้าย ปราบปราม จนผู้คนบาดเจ็บล้มตายต่อไป ด้วยข้ออ้างว่า "เพื่อปกป้องสถาบัน"

ผมจึงอยากชวนให้คิดจริงจังกับ "ตลกมรณะ" เรื่องนี้สักเล็กน้อย เพื่อเป็นบทเรียนแก่ฝ่ายต่างๆ ในการหลีกเลี่ยงการให้ร้ายป้ายสี, การให้ความชอบธรรมกับความรุนแรง, และการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างมักง่ายในภายหน้า

1) ปัญหาพื้นฐานของ "ผังล้มเจ้า" 

คือมันเป็นเครื่องมือสืบสวนสอบสวนแบบฉบับที่สร้างขึ้นโดยหน่วยงานข่าวกรองซึ่งเรียนรู้และเลียนแบบมาจากองค์การซีไอเอของอเมริกา เนื้อแท้ของมันก็คือบัญชีดำ (blacklist) ของผู้ต้องสงสัยที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐประมวลรวบรวมขึ้นในสถานการณ์สู้รบกับองค์การใต้ดิน/บนดินของคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น และนำมาป้อนให้และ/หรือสอนให้หัดรวบรวมทำขึ้นบ้างแก่เจ้าหน้าที่ของประเทศพันธมิตรในโลกที่สามนั่นเอง 

ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยข่าวกรองไทยซึ่งรับการฝึกฝนอบรมและอิทธิพล รวมทั้งแลกเปลี่ยนข่าว ประสานงานกับหน่วยข่าวกรองอเมริกันมาตลอดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเย็น สงครามเวียดนาม ถึงปัจจุบัน จึงรับเอาวิธีการนี้มาใช้ด้วย ไม่ว่าในสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ในอดีต, สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 หรือสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ในปัจจุบัน 

จากรายชื่อในบัญชีดำดังกล่าว ฝ่ายความมั่นคง/ข่าวกรองก็อาศัยเป็นฐานในการสืบสวนสอบสวน 

หาข่าว เชื่อมโยงความสัมพันธ์เป็นเครือข่าย ติดตาม สืบจับ กระทั่งคุมตัว อุ้มหรือล่าสังหารตามคำสั่ง ต่อไปแล้วแต่กรณี ดังที่พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เคยให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยจาก ประสบการณ์การทำงานส่วนตัวว่า :

"..กลับจากเวียดนาม ผมเป็นหัวหน้าชุดล่าสังหารของกองทัพบก ตอนเป็นหัวหน้าชุดล่าสังหาร ผมไปทั่วหมด ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภูหินร่องกล้า ไปหมดทุกที่ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง..

"สมัยก่อนที่เรามีหน่วยล่าสังหาร ไอ้อย่างนั้นเขาเอาชื่อมาให้ บอกว่าไอ้นี่แหละแกนนำ ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เราก็เป้ง! จบแล้ว

กลับมานอน อย่างนั้นมันง่าย (หัวเราะ)"

ปกรณ์ พึ่งเนตร และอธิคม คุณาวุฒิ, สัมภาษณ์พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี

"ผมสร้างตัวจากการรับจ้างรบ", กรุงเทพธุรกิจ, 3 ส.ค. 2545

2) ตรรกะพื้นฐานในการสร้างบัญชีดำหรือ "ผังล้มเจ้า" 

คือตรรกะของงานข่าวกรอง (the logic of intelligence) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความสงสัย (suspicion) อันเป็นตรรกะที่ชี้นำการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรอง/ความมั่นคง เพราะลักษณะใต้ดินปิดเร้นซ่อนงำลึกลับของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ดำเนินงานโดยอาศัยหลักฐานชัดแจ้งที่พิสูจน์ถึงที่สุดมิได้ หากต้องอาศัย "ความสงสัย" กาหัวเล็งเป้าใส่ "ผู้ต้องสงสัย" (suspects) เป็นหลักแทน แล้วคอยเฝ้าสังเกตสอดส่องดูแลระแวดระวัง (surveillance) ได้เลย 

ซึ่งตรงกันข้ามกับตรรกะพื้นฐานในการดำเนินงานของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการ จนถึงศาล (the logic of the legal system) ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของข้อพิสูจน์ (proof) ถือว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อนแม้เขาตกเป็นผู้ต้องหา จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน อย่างเปิดเผยและเปิดให้โต้แย้งซักค้านได้ในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด แล้วเชื่อถืออย่างสิ้นข้อ สงสัยที่ชอบด้วยเหตุผล (beyond reasonable doubt) ว่าเขาผิดจริง เมื่อนั้นจึงจะลงโทษเขาได้ 

ถ้าหากกระบวนการยุติธรรมถือหลักว่าปล่อยคนผิดไปร้อยคน ดีกว่าลงโทษคนบริสุทธิ์แม้เพียงหนึ่งคนแล้ว, 

งานข่าวกรอง/ความมั่นคงกลับดำเนินงานด้วยหลักตรงข้ามกัน คือต้องติดตามสอดส่องคนที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งร้อยคน ดีกว่าปล่อยผู้ต้องสงสัยให้หลุดรอดไป แม้เพียงคนเดียว

3) ความบกพร่องผิดพลาดพื้นฐานเกิดขึ้นเมื่อนักการเมืองหยิบเอาบัญชีดำ "ผังล้มเจ้า" ซึ่งเป็นเครื่องมือของงานข่าวกรองมาอ้างใช้อย่างเปิดเผยเสมือนหนึ่งเป็น "คำกล่าวหาฟ้องร้อง" หรือกระทั่ง "หลักฐานเอาผิด" ในกระบวนการยุติธรรม 

การข้ามเส้นใช้เครื่องมือผิดประเภทดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะการเมืองเข้าแทรกแซงงานข่าวกรอง/ความมั่นคง แทนที่จะปล่อยให้งานข่าวกรอง/ความมั่นคงดำเนินงานไปตามดุลพินิจอิสระและความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่ กลับมีนักการเมืองผู้บังคับบัญชา ล้วงหยิบเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อต่อสู้และทำลายล้างปรปักษ์ทางการเมืองในลักษณะเป็นคำกล่าวหาหรือหลักฐานอ้างอิงต่อสาธารณะกลายๆ 

การปล่อยให้มีการฉวยใช้งานข่าวกรอง/ความมั่นคงไปในทางการเมือง (politicization of intelligence work) นี้เลวร้ายมาก เพราะเท่ากับบ่อนทำลายความเป็นมืออาชีพ คุณภาพงาน คุณธรรมและศักดิ์ศรีของงานข่าวกรองและเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองลงไป นำไปสู่ข่าวหลอกตัวเองและลวงประชาชน ซึ่งชักนำให้ตัดสินใจผิดพลาดบนฐานข่าวหลอกลวงนั้น 

ดังที่เราได้เห็นผลลงเอยเป็นความกลวงเปล่าเหลวเป๋วเอาอะไรเป็นแก่นสารสาระไม่ได้ของ "ผังล้มเจ้า" กันอยู่ หลังจากที่มันได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่าวหาให้ร้ายและทำลายล้างผลาญชีวิตรวมทั้งศักดิ์ศรี ของผู้คนไปมากต่อมากโดย ไม่มีใครหน้าไหนกล้าแอ่นอกมารับผิดชอบแม้แต่คนเดียว

ดังนั้นกรณีการกระทำต่างๆ เช่น

การที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และ ศอฉ.บิดเบนใช้ "ผังล้มเจ้า" เพื่ออุ้มรัฐบาลและทำลายปรปักษ์ทางการเมืองของตนก็ดี, 

การที่ชื่อของนักวิชาการและสื่อสิ่งพิมพ์ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารและผู้อยู่เบื้องหลังอย่างรุนแรงแต่เผอิญมีสายใยเชื่อมโยงกับนักการเมืองผู้โอบกอดกับนายกฯอภิสิทธิ์กลับหายไปไม่ปรากฏใน "ผังล้มเจ้า" อย่างน่าสะดุดตาสะดุดใจยิ่งก็ดี, 

การที่มีแกนนำพรรคการเมืองบางพรรคเอา "ผังล้มเจ้า" ไปปรับแต่งขยายความเพิ่มรูปเพิ่มกลุ่ม เพิ่มคน แล้วแอบเผยแพร่ต่อเงียบๆ เพื่อหา

สมัครพรรคพวกค้ำจุนกลุ่มตนเองและทำลายศัตรูทาง การเมืองก็ดี, 

การที่มีมือมืดดึงรายงานข่าวกรองที่บ่งชี้ความชอบด้วยกฎหมายของการเคลื่อนไหวของกลุ่มวิชาการออกไปจากการใช้หมุนเวียนในหมู่ผู้รับผิดชอบตัดสินใจของรัฐ เพื่อสนองตอบต่อวาระทางการเมือง เฉพาะของตนก็ดี ฯลฯ 

เหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นการบ่อนทำลายประสิทธิภาพ ความแม่นยำถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงของชุมชนงานข่าวกรอง อันเปรียบเสมือนหูตาป้อนข้อมูลสู่การตัดสินใจของรัฐบาล เท่ากับทำให้รัฐบาลตาฝาดหูเฝื่อนและตัดสินใจผิดพลาดฟั่นเฟือนเพราะอยู่บนฐานข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ บกพร่อง และบิดเบือน

4) ทางแก้ไขอย่างแรกและก่อนอื่นใดที่รัฐบาลและหน่วยงานข่าวกรองพึงทำได้จากบทเรียนการชันสูตร พลิกศพตลกมรณะเรื่อง "ผังล้มเจ้า" นี้คือต้องถ่ายถอนการเมืองออกไปจากงานข่าวกรอง/ความมั่นคง (depoliticization of intelligence work) 

อย่าปล่อยให้พลังการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยัดเยียดระเบียบวาระและอคติทางการเมืองเฉพาะของตนเข้ามาบิดเบือนการทำงานข่าวกรอง หากต้องดำเนินงานประมวลข่าวกรองอย่างรับผิดชอบ มีประสิทธิภาพ ตรงไปตรงมา และเคารพในสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของพลเมืองทุกฝ่ายทุกคน 

งานข่าวกรองต้องเป็นเครื่องมือที่เป็นกลางทางการเมืองของรัฐบาล, และไม่ปล่อยให้เอาเครื่องมือของงานข่าวกรองแบบ "บัญชีดำ" ไปทำร้ายยั่วยุให้เกลียดชัง หวาดระแวง และฆ่าฟันคนไทยด้วยกันแบบนี้อีก


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335488423&grpid=01&catid=01&subcatid=0100

คำบอกเล่าจากปาก สวัสดิ์ คำประกอบ บุรุษ 4 แผ่นดิน เล่าเรื่องปฎิวัติ 2475 เห็นกับตาได้ยินกับหู...

คำบอกเล่าจากปาก สวัสดิ์ คำประกอบ บุรุษ 4 แผ่นดิน เล่าเรื่องปฎิวัติ 2475 เห็นกับตาได้ยินกับหู...

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 15:30:58 น.

Share6










( ร่วมรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ปี 2500)

 

 

ปัจจุบัน สวัสดิ์ คำประกอบ นักการเมืองรุ่นแรกๆ ของประเทศไทย อายุเฉียด 93 ปีแล้ว (เกิด 23 ตุลาคม 2462)   
 

 

นักการเมืองรุ่นเดียวกับเขา ลากลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น บุญเท่ง ทองสวัสดิ์   ,  ใหญ่ ศวิตชาติ , เลียง ไชยกาล , นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ,ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช 
 

 

แต่ สวัสดิ์ คำประกอบ ยังอยู่ และยังประกาศว่า จะรับใช้พี่น้องชาวนครสวรรค์ไปอีก 10 ปี
 

 

สวัสดิ์ เล่าว่า เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง มาตลอด 4 รัชกาล  เกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 และจะครบ 100 ปีในรัชกาลที่ 9 
 

 

ในหนังสือ จดหมายเหตุ จังหวัดนครสวรรค์ หนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสเขาอายุครบ 90 ปี  ระบุว่า

  

 

"การครบ 90 ปี ของผม  ดูเหมือนว่า เวลา 90 ปี ไม่ได้นานมากนัก แต่ก็ได้มีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 และมีโอกาสเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 7 และที่ 8 และรัชกาลที่ 9 องค์ปัจจุบัน บางช่วงก็เห็นความรุ่งโรจน์ สดใสความเป็นสุข ของประชาชน บางครั้งก็มีวิกฤต ความตกต่ำ และความทุกข์ของผู้คน อันเป็นความไม่แน่นอนของโลก ผันแปรไปตามกาลเวลา ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับชีวิตของเรา "

  

 

"ผมขอขอบพระคุณประชาชนชาวนครสวรรค์ ทุกท่านที่ได้ให้คะแนนเสียงแก่กระผมมาทุกสมัย ตั้งแต่ผมสมัครผู้แทน ครั้งแรกในปี 2489 จวบจน การสมัครวุฒิสมาชิกในปี 2542 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสทำคุณแก่แผ่นดิน รับใช้แผ่นดินเกิด นับแต่ พ.ศ. 2487 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครสวรรค์ จวบจนถึงปัจจุบัน ที่ยังคงรับใช้ท่านทั้งหลายเป็นเวลากว่า 65 ปี"

 

 

" วันที่ผมอายุ 90 ปี คงจะอยู่รับใช้ท่านได้อีกประมาณ 15 ปี มีอะไรก็ขอให้รีบมาใช้นะครับ เพราะเกินจาก 15 ปี ไปแล้ว ผมก็จะขอลาจากท่านละครับ"

 

 

"สวัสดิ์ คำประกอบ" เห็นการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน  แต่บันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ ฉากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475   นักการเมืองอาวุโส เล่าผ่าน"วีระกร  คำประกอบ"ว่า

 

 

"  ผมเรียน ม.4 วัดราชบพิธเพียงคนเดียว พวกพี่กลับบ้านไปหมดแล้ว ในปี 2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผมไปโรงเรียนตอนเช้าเห็นรถถังเล็ก(เรียกว่า ไอ้แอ๊ด) เป็นรถถังของเก่าจากฝรั่งเศส (พูดกันว่าตอนจัดซื้อมีการโกงกันมาก) 2 คัน มาวิ่งซ้อมโชว์ที่สนามหลวง วิ่งไปก็เสียไป (ปกติจะเห็นตอนกลับจากโรงเรียน) วิ่งตามกันไปบนถนนอัษฎางค์ เลี้ยวเข้ากรมที่ดิน ผมก็ยังสงสัยว่า ทำไมเอารถถังมาวิ่งบนถนน ไม่ไปฝึกซ้อมที่ท้องสนามหลวงอย่างทุกวัน

   

 

จนมาถึงโรงเรียน 8.30 น. ตาเสาภารโรงก็ยังไม่ตีระฆัง จนเวลา 9.00 น. นักเรียนยืนคุยกันเฮฮาไม่เข้าแถว พอเวลา 09.30 น. ครูใหญ่ ตีระฆังรัวไปหมด นักเรียนก็มาเข้าแถวรวมตัวกันที่สนามแล้ว ครูใหญ่ขุนรหัสบรรทัดฐาน ก็พูดว่า ขณะนี้มีการปฎิวัติ ทหารยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบประชาธิปไตย ใครอยากรู้ว่าการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างไรให้ไปที่พระบรมรูปทรงม้า แล้วจะรู้เรื่องได้ดี วันนี้โรงเรียนปิดพรุ่งนี้ให้มาเรียน พวกเราวิ่งบ้าง เดินบ้างไปเสาชิงช้า เพื่อไปต่อที่พระบรมรูปทรงม้า มีชาวบ้านมารวมตัวกันที่พระบรมรูปทรงม้าเป็นหมื่นพูดกันให้แซด วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของพระองค์ท่าน และมีการแจกใบปลิว มีรูปพระยาพหลพลพยุหเสนา,พระยาทรงสุรเดช,พระยาฤทธิอัคเนย์,พระประสาทพิทยายุทธ เป็น 4 ทหารเสือที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

   

 

มีข้อความในใบปลิว 2 แผ่นใหญ่ อธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลง และพูดถึงผู้ริเริ่ม คือหลวงประดิษฐ์มนูธรรมด้วย พอเวลาประมาณ 10.00 น.โมงเช้า คนที่พูดเหมือนในรูปใบปลิว จึงยืนฟังอยู่ ท่านพูดว่า พวกเราคณะทหารและพลเรือง ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากในหลวง เพื่อเอาอำนาจในการปกครองประเทศมาให้ประชาชน ตามอย่างอารยประเทศ ที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย คณะปฎิวัติ ได้กำลังไปเชิญตัวกรมพระนครสวรรค์วรพินิต และอีกสามท่าน มีกรมพระกำแพงเพชร ซึ่งเป็นผู้ดูแลพระนครขณะนั้น คณะราษฎรกำลังให้เจ้าหน้าที่ไปเชิญท่านมาปรึกษาหารือคณะของเราเรียกว่าคณะกรรมการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตย

 

ผมอยู่ที่พระบรมรูปทรงม้าถึงเที่ยงวัน ฟังชาวบ้านที่มาชุมนุมนับหมื่นคนพูดวิจารณ์รัฐบาลของในหลวงและทราบว่านักเรียนนายร้อยทหารบกทั้งหมดก็เข้ากับคณะราษฎรด้วย ผมกลับมาวัดมหาธาตุไปบอกหลวงพี่ หลวงพี่บอกว่า เจ้าคุณใหญ่เรียกประชุม แจ้งให้ทราบแล้ว

   

 

รุ่งขึ้นไปโรงเรียนวัดราชบพิธตามปกติ ครูบุญยัง ทรวดทรวง ครูประจำชั้น ม.4 ก็อธิบายเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงให้ฟัง เล่าให้ฟังว่าในฝรั่งเศสมีการปฏิวัติ คนตายเป็นพันๆคน เมื่อ 100 ปี มาแล้ว"
    
    

วันนี้ สวัสดิ์ คำประกอบ ยังมีสุขภาพแข็งแรง และยังสนใจการเมือง โดยขอให้  ดัสทัต และ วีระกร คำประกอบ  ลูกชายที่อยู่ในวงการเมืองเล่าให้ฟัง
      
     

จากการปฎิวัติครั้งแรก 24 มิถุนายน 2475 จนถึง 19 กันยายน 2549   ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวถูกบันทึกผ่านสายตา นักการเมืองอาวุโส อย่างแจ่มชัด !!!

 

สวัสดิ์ คำประกอบ นำคณะส.ส.ไทยไปเยือนจีน ปี 2519 ถ่ายรูปคู่กับ เติ้ง เสี่ยง ผิง


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335513858&grpid=01&catid=01&subcatid=0100